สำหรับคู่ค้าทางธุรกิจ
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy)
กลุ่มบริษัทเกตซ์[1] (“บริษัท”) ให้ความสำคัญและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจึงจัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (“นโยบาย”) ฉบับนี้ขึ้น เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 รวมถึงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ในอนาคต (“กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”)
1. เกี่ยวกับบริษัท
กลุ่มบริษัทเกตซ์ รวมถึงบริษัท หลุยส์ ตี. เลียวโนเวนส์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านการตลาด การกระจายสินค้า และเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางเทคนิคและสินค้าเฉพาะทาง ที่มีประสบการณ์ในประเทศไทยมายาวนานมากกว่าศตวรรษ ในปัจจุบัน เรานำเสนอบริการที่เพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจของคู่ค้าของเราอย่างกว้างขวาง รวมถึงการวิจัยและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในธุรกิจ การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ การทำการตลาด การขาย การขนส่ง การเก็บรักษาสินค้าและบริการหลังการขาย เพื่อทำให้แน่ใจว่าห่วงโซ่สินค้าและบริการในธุรกิจของท่านจะมีความราบรื่นตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง นอกจากนี้ บุคคลากรของเราตั้งแต่ผู้เชี่ยวชาญในแนวหน้าจนถึงทีมงานที่สนับสนุนการดำเนินงานมีความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อสร้างความสำเร็จในทุกวันสำหรับธุรกิจของคู่ค้าของเรา เราได้บริหารจัดการรายการสินค้าที่หลากหลายซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางเทคนิคและสินค้าเฉพาะทางโดยการผสมผสานอย่างสมดุลระหว่างมาตรฐานและระบบที่มีการออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของคู่ค้าของเราเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับแต่ละแบรนด์ในตลาด
แต่ละหน่วยธุรกิจของเราดำเนินการภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและได้รับการสนับสนุนจากทีมงานที่มีความสามารถและประสบการณ์ทำงานที่ยาวนานเพื่อสร้างและขยายธุรกิจของคู่ค้าของเรา (“ธุรกิจ”)
2. บททั่วไป
นโยบายฉบับนี้อธิบายให้ท่านทราบถึงวิธีการที่บริษัทบริหารจัดการข้อมูลที่สามารถหรืออาจระบุตัวตนของท่าน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด (“ข้อมูลส่วนบุคคล”) กล่าวคือ การดำเนินการใดๆเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การเก็บรวบรวม การใช้งาน และการเปิดเผย (“ประมวลผล”) และเพื่อแจ้งให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนสิทธิของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ เพื่อให้ท่านสามารถรับทราบรายละเอียดดังกล่าวอย่างครบถ้วนตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด บริษัทขอแนะนำให้ท่านอ่านและทำความเข้าใจถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ภายใต้นโยบายฉบับนี้อย่างละเอียด
3. บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของใคร
นโยบายฉบับนี้กำหนดการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่ประสงค์จะเป็นคู่ค้าทางธุรกิจและคู่ค้าทางธุรกิจของบริษัทกล่าวคือ บุคคลที่ประสงค์ที่จะหรือดำเนินการซื้อ ผลิตสินค้า จัดหาสินค้า และ/หรือเข้าเสนอราคาเพื่อขายสินค้าให้แก่บริษัทและ/หรือรับบริการจากหรือให้บริการแก่บริษัทหรือมีความสัมพันธ์ในลักษณะอื่นใดที่มีความคล้ายคลึงกันกับบริษัทโดยบริษัทอาจมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทน เช่น ท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนเป็นผู้ซื้อหรือจัดหาสินค้าหรือให้บริการแก่บริษัทเป็นตัวแทนในการจำหน่ายสินค้าให้แก่บริษัทเป็นผู้รับบริการ ผู้ให้บริการ ที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ หรือมีการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจใดๆ กับบริษัทเป็นต้น
4. บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากช่องทางใด
บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่านช่องทางต่างๆ ดังต่อไปนี้
4.1 | กรณีที่ท่านให้ข้อมูลส่วนบุคคลไว้กับบริษัทโดยตรง | เมื่อท่านลงนามในสัญญาที่เข้าทำกับบริษัทหรือทำข้อตกลงซื้อหรือจัดหาสินค้าหรือให้บริการแก่บริษัทหรือทำข้อตกลงในการขายสินค้าของบริษัท
เมื่อท่านกรอกข้อมูลต่างๆในแบบฟอร์ม ไม่ว่าในรูปแบบเอกสาร ผ่านเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน สื่อสังคมออนไลน์ หรือทางช่องทางใดๆ เมื่อท่านส่งมอบเอกสารซึ่งมีข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบริษัท เมื่อท่านติดต่อสื่อสารหรือสอบถามข้อมูลกับบริษัท เมื่อท่านสนับสนุนหรือเข้าร่วมงานกิจกรรม กิจกรรมด้านการตลาด หรือกิจกรรมอื่นๆที่จัดขึ้นโดยหรือในนามของบริษัท เมื่อท่านกดรับข่าวสารหรือสื่อประชาสัมพันธ์จากบริษัท |
4.2 | กรณีที่บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอก | เมื่อนายจ้างหรือตัวแทนของท่านส่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบริษัท
เมื่อคู่ค้าทางธุรกิจอื่นของบริษัท บริษัทในเครือของบริษัทหรือผู้ให้บริการอื่นได้ส่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบริษัท บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งสาธารณะหรือแหล่งข้อมูลทางการค้า ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวด้วยตนเองหรือได้ให้ความยินยอมแก่บุคคลใดในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวของท่าน เช่น เว็บไซต์ของบริษัทหน่วยงานของรัฐ ข้อมูลที่ค้นหาได้ทางอินเตอร์เน็ต หรือบนสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ |
4.3 | กรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยอัตโนมัติ | เมื่อท่านเข้าชมและ/หรือใช้บริการเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือบริการออนไลน์ต่างๆ ที่มีการใช้คุกกี้หรือเทคโนโลยีที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับรายละเอียดการใช้งานของท่าน โปรดดูนโยบายการใช้คุกกี้
เมื่อท่านติดต่อบริษัท ณ สถานประกอบการของบริษัทซึ่งมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เมื่อท่านเสนอซื้อหรือขายสินค้าและ/หรือบริการให้แก่บริษัทหรือเยี่ยมชมสถานประกอบการของบริษัท |
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆตามที่ระบุในนโยบายฉบับนี้ เช่น วัตถุประสงค์และเหตุผลทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หรือหากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน
5. บริษัทเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอะไรบ้าง
ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทและภายใต้นโยบายฉบับนี้ บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ท่านได้ให้ไว้กับบริษัทโดยตรงหรือที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก ดังต่อไปนี้
5.1 | ข้อมูลส่วนตัว | เช่น | ชื่อ นามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง เพศ สัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา อาชีพ ตำแหน่งงาน ข้อมูลรายได้และค่าตอบแทนอื่น สถานที่ทำงาน รูปถ่าย หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง หมายเลขทะเบียนยานพาหนะ รายละเอียดข้อมูลยานพาหนะ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ประวัติการทำงาน ประวัติการศึกษา และประวัติอาชญากรรม เป็นต้น |
5.2 | ข้อมูลการติดต่อ | เช่น | หมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร อีเมล บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ ที่อยู่ตามบัตรประจำตัวประชาชน ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน และข้อมูลผู้ที่สามารถติดต่อได้ เป็นต้น |
5.3 | ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขายสินค้าและ/หรือบริการ | เช่น | ข้อมูลที่จำเป็นเพื่อการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนในกรณีที่ท่านเป็นคู่สัญญาหรือผู้ให้บริการแก่บริษัท เช่น รายละเอียดการชำระค่าสินค้าหรือบริการ เป็นต้น |
5.4 | ข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน | เช่น | หมายเลขบัญชีธนาคาร ข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี และใบเสร็จรับเงิน และรายละเอียดหรือข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงินอื่น ๆ เป็นต้น |
5.5 | ข้อมูลที่ใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมต่างๆ | เช่น | ข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในสำเนาบัตรประชาชน สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาใบเปลี่ยนชื่อนามสกุล บัตรประจำตัวข้าราชการ บัตรประจำตัวพนักงานรัฐวิสาหกิจ สำเนาใบอนุญาตขับรถยนต์ สำเนาใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ สำเนาใบสำคัญการสมรส สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร ใบรับรองแพทย์ สำเนาบัตรพนักงาน หนังสือรับรองการเป็นพนักงาน สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพต่าง ๆ สำเนาใบประกาศนียบัตรเข้ารับการอบรมต่างๆ สำเนาหนังสือรับรองบริษัทสำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สำเนาสิทธิบัตร สำเนาหนังสือแต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย สำเนาใบทะเบียนพาณิชย์ สำเนาใบทะเบียนการจัดตั้งกลุ่มอาชีพ สำเนาใบอนุญาตทำงาน สำเนาหนังสือแสดงกรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองในที่ดิน หนังสือยินยอมให้คู่สมรสทำนิติกรรม หนังสือมอบอำนาจ Resume/CV และสัญญาบริการหรือสัญญาอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมนั้น ๆ เป็นต้น |
5.6 | ข้อมูลในกรณีที่ท่านดำเนินการแทนนิติบุคคล | เช่น | ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ปรากฏในหนังสือรับรองบริษัท บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือเอกสารเกี่ยวกับนิติบุคคลอื่นใดที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ข้อมูลอื่นใดที่บริษัทร้องขอจากนิติบุคคลของท่าน หรือจากท่านเพื่อใช้ในการประกอบการเข้าทำสัญญา การให้บริการ หรือการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น |
5.7 | ข้อมูลอื่นๆ | เช่น | ระยะเวลาการเข้าพื้นที่เพื่อดำเนินงาน บันทึกเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ บันทึกภาพและเสียงผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) และอุณหภูมิร่างกาย เป็นต้น |
บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive Personal Data) เช่น ประวัติอาชญากรรม เพื่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดในนโยบายฉบับนี้ ทั้งนี้ บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวเมื่อได้รับความยินยอมจากท่าน หรือตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด
6. บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ใด
ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น อย่างไรก็ดี ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 หากท่านไม่ประสงค์ให้บริษัทเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทเพื่อขอยกเลิกความยินยอม ตามรายละเอียดการติดต่อที่ระบุไว้ในข้อ 10 ของนโยบายฉบับนี้ ทั้งนี้ บริษัทขอสงวนสิทธิในการพิจารณาคำขอยกเลิกความยินยอมของท่านและดำเนินการตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด
6.1 บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด ดังต่อไปนี้ (“วัตถุประสงค์ที่กำหนด”)
ก. เพื่อการเข้าทำสัญญากับท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทน และ/หรือเพื่อการปฏิบัติตามสิทธิหน้าที่ที่มีตามสัญญาที่บริษัทเข้าทำกับท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทน
ข. เพื่อการตรวจสอบและยืนยันตัวตนของท่านและ/หรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทน
ค. เพื่อการตรวจสอบประวัติก่อนและระหว่างเข้าทำสัญญากับท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนและอาจมีการตรวจสอบรายละเอียดดังกล่าวในระหว่างระยะเวลาตามสัญญาที่บริษัทเข้าทำกับท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทน
ง. เพื่อการจัดซื้อจัดจ้างและซื้อสินค้าหรือบริการจากท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนรวมถึงการบริหารจัดการการคัดเลือกคู่ค้า การยื่นซองข้อเสนองาน การยื่นหลักประกันซองข้อเสนองาน การตรวจสอบข้อมูลและคุณสมบัติ และดำเนินการตามนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างของบริษัทและกระบวนการอื่นใดในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
จ. เพื่อจัดทำและบริหารจัดการคำสั่งซื้อ ข้อตกลง หรือสัญญาระหว่างบริษัทกับท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทน ซึ่งรวมถึงการชำระเงินค่าสินค้า ค่าบริการ และค่าใช้จ่ายต่างๆให้กับท่าน ตามคำสั่งซื้อ ข้อตกลง หรือสัญญาระหว่างบริษัทกับท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทน
ฉ. เพื่อการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับภายในของบริษัท เช่น การเปิดบัญชีคู่ค้า การจัดทำเอกสารหรือสรุปต่างๆ การทำบัตรเข้า-ออกพื้นที่ การบันทึกประวัติการปฏิบัติงาน เป็นต้น
ช. เพื่อการติดต่อสื่อสารกับท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนเกี่ยวกับการสินค้า และ/หรือการให้บริการของท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนรวมถึงการส่งข่าวสารและสื่อประชาสัมพันธ์ที่ท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนสนใจหรืออาจเป็นประโยชน์กับท่าน หรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทน
ซ. เพื่อวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท เช่น กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายภาษีอากร กฎหมายศุลกากร กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายว่าด้วยการบัญชี กฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นต้น
ฌ. เพื่อดำเนินการตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ญ. เพื่อวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้ซึ่งสิทธิเรียกร้องของบริษัท
ฎ. เพื่อตรวจสอบและดูแลความสงบเรียบร้อย การรักษาความมั่นคงปลอดภัย การจัดการและการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และความปลอดภัยของบุคลากรของบริษัทและบุคคลภายนอก ณ บริเวณสถานที่ประกอบธุรกิจของบริษัท รวมทั้งทรัพย์สินและข้อมูลต่างๆ ของบริษัท
ฏ. เพื่อการดำเนินการใดๆที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ และอาจเป็นประโยชน์ต่อท่านหรือนิติบุคคลที่ท่านกระทำการแทนหรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดใดๆข้างต้น
ฐ. เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆที่บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบ
6.2 บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น ภายใต้เหตุผลทางกฎหมายดังต่อไปนี้
ก. เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญานั้น
ข. เป็นความจำเป็นของบริษัทในการปฏิบัติตามกฎหมาย
ค. เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากบริษัท
ง. เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของบริษัทหรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่บริษัท
จ. เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล
ฉ. เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยหรือสถิติซึ่งได้จัดให้มีมาตรการปกป้องที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของท่าน หรือ
ช. ความยินยอมที่ท่านได้ให้ไว้กับบริษัท เมื่อไม่สามารถอาศัยข้อยกเว้นหรือเหตุผลทางกฎหมายที่ระบุข้างต้น
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดและเหตุผลทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทได้ตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 10 ของนโยบายฯ ฉบับนี้
6.3 เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทจะประมวลผลเพื่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดตามข้อ 1 ข้างต้นในส่วนที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติตามกฎหมายหรือสัญญาหรือมีความจำเป็นเพื่อเข้าทำสัญญากับท่าน เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว หากท่านไม่ประสงค์ที่จะให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแก่บริษัท อาจมีผลกระทบทางกฎหมาย หรืออาจทำให้บริษัทไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ภายใต้สัญญาที่ได้เข้าทำกับท่าน หรือไม่สามารถเข้าทำสัญญากับท่านได้ (แล้วแต่กรณี) ในกรณีดังกล่าว บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องปฏิเสธการเข้าทำสัญญากับท่าน หรือยกเลิกการซื้อขายสินค้า การให้บริการหรือการรับบริการที่เกี่ยวข้องกับท่าน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
6.4 ในกรณีที่บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ข้างต้น บริษัทจะจัดให้มีนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือประกาศเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติม และ/หรือมีหนังสือไปยังท่านเพื่ออธิบายเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ ท่านควรศึกษานโยบายหรือประกาศเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องดังกล่าวร่วมกับนโยบายฉบับนี้
7. บริษัทเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้กับใครบ้าง
7.1 บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดและตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดให้แก่บุคคลและหน่วยงานดังต่อไปนี้
ก. บริษัทในกลุ่มบริษัทเกตซ์ รวมถึงผู้บริหาร กรรมการ พนักงาน ลูกจ้าง และ/หรือบุคลากรภายในของบริษัทดังกล่าว เท่าที่เกี่ยวข้องและตามความจำเป็นเพื่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
ข. ที่ปรึกษาของบริษัท เช่น ผู้ตรวจสอบบัญชี ที่ปรึกษากฎหมาย ทนายความ หรือผู้เชี่ยวชาญอื่นทั้งภายในและภายนอกของกลุ่มบริษัทเกตซ์ เป็นต้น
ค. พันธมิตร คู่ค้าทางธุรกิจ ผู้ให้บริการ และผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทมอบหมายหรือว่าจ้างให้ทำหน้าที่บริหารจัดการ และ/หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท เช่น การให้บริการชำระเงิน บริการจัดพิมพ์ บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ บริการเว็บไซต์ บริการเก็บบันทึกข้อมูล บริการวิเคราะห์ข้อมูล บริการทำการวิจัย บริการทำการตลาด บริการการเดินทาง หรือบริการอื่นใดที่อาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน หรือเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นต้น
ง. หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลตามกฎหมาย หรือที่ร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย หรือที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมาย หรือที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานเขต สำนักการโยธา สำนักงานที่ดิน และศาล เป็นต้น
จ. หน้าเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และ/หรือสื่อสังคมออนไลน์ของบริษัท
ฉ. บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่ท่านให้ความยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
7.2 ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลอื่น บริษัทจะจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้เปิดเผยและเพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานและหน้าที่การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด หากบริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปต่างประเทศ บริษัทจะดำเนินการเพื่อทำให้มั่นใจว่าประเทศปลายทาง องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้รับข้อมูลในต่างประเทศนั้นมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอหรือเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด โดยในบางกรณี บริษัทอาจขอความยินยอมของท่านสำหรับการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศ
7.3 ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลอื่น บริษัทจะดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนด หรือวัตถุประสงค์อื่นที่กฎหมายกำหนดให้กระทำได้เท่านั้น ในกรณีที่กฎหมายกำหนดว่าต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมจากท่านก่อน
8. ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล
8.1 บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ๆ โดยระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลจะเปลี่ยนแปลงไปโดยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ๆ และโดยคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้
ก. ระยะเวลาตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด (ถ้ามี)
ข. อายุความตามกฎหมายสำหรับการดำเนินคดีที่อาจเกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับเอกสารหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมไว้ในแต่ละรายการ
ค. แนวปฏิบัติของบริษัทและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องสำหรับข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่ธุรกรรมหรือนิติสัมพันธ์ระหว่างท่านกับบริษัทสิ้นสุดลง อย่างไรก็ดี บริษัทอาจเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาเกินกว่าระยะเวลาดังกล่าวหากกฎหมายอนุญาตหรือการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจำเป็นต่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องทางกฎหมายของบริษัท
8.2 หลังจากครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวข้างต้น บริษัทจะลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว จากการจัดเก็บในระบบของบริษัท และของบุคคลอื่นซึ่งให้บริการแก่บริษัท (ถ้ามี) หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวท่านได้ เว้นแต่จะเป็นกรณีที่บริษัทสามารถเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวได้ต่อไปตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกำหนด ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัท ตามรายละเอียดการติดต่อที่ระบุไว้ในข้อ 10 ของนโยบายฯ ฉบับนี้
9. สิทธิต่าง ๆ ของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
ในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิต่างๆที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านดังต่อไปนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
9.1 | สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล | ท่านมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้แก่ท่าน ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด |
9.2 | สิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล | ท่านมีสิทธิที่จะขอรับข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับท่าน รวมถึงมีสิทธิขอให้ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลรายอื่นหรือตัวท่านเอง เว้นแต่โดยสภาพไม่สามารถทำได้ ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด |
9.3 | สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล | ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้สิทธิแก่ท่าน |
9.4 | สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล | ท่านอาจขอให้บริษัทลบ ทำลายหรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้สิทธิแก่ท่าน |
9.5 | สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล | ท่านมีสิทธิขอให้บริษัทระงับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้สิทธิแก่ท่าน |
9.6 | สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง | ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง หากข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนั้นไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบัน ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิด |
9.7 | สิทธิที่จะเพิกถอนความยินยอม | ในกรณีที่บริษัทอาศัยความยินยอมของท่านในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมกับบริษัทได้ |
9.8 | สิทธิในการยื่นข้อร้องเรียน | ในกรณีที่มีเหตุให้เชื่อได้ว่าบริษัทได้ทำการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิยื่นข้อร้องเรียนต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามระเบียบและวิธีการตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด |
ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 หากท่านประสงค์ที่จะขอใช้สิทธิของท่านดังที่ระบุข้างต้น ท่านสามารถติดต่อมายังบริษัทตามรายละเอียดการติดต่อในข้อ 10 ของนโยบายฉบับนี้ โดยบริษัทจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน
10. การติดต่อบริษัท
ท่านสามารถติดต่อบริษัทเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายฉบับนี้ การบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน แจ้งข้อร้องเรียน หรือใช้สิทธิของท่านตามที่กำหนดไว้ในข้อ 9 ข้างต้น ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
บริษัท หลุยส์ ตี. เลียวโนเวนส์ (ประเทศไทย) จำกัด
177/1 อาคารบียูไอ ชั้น 10ถ. สุรวงศ์เเขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทรศัพท์ 02-206-9500 โทรสาร 02-206-9599
ท่านสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทได้ที่
Ms Nitchima Wutthi
โทรศัพท์ 02-206-9595
อีเมล nitchima.w@louist.co.th
11. การแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายฉบับนี้
บริษัทอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายฉบับนี้เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกำหนด โดยบริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญผ่านช่องทางที่เหมาะสม ทั้งนี้ บริษัทขอแนะนำให้ท่านตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงนโยบายฉบับนี้เป็นครั้งคราว
นโยบายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565
ประกาศ ณ วันที่ 10 มีนาคม 2565
(นายวิลเลี่ยม อาเธอร์ บรูซ เมทคาล์ฟ) (นายจักรพันธุ์ จตุรภัทร์)
บริษัท หลุยส์ ตี. เลียวโนเวนส์ (ประเทศไทย) จำกัด
[1] กลุ่มบริษัทเกตซ์ รวมถึง นิติบุคคลหนึ่งนิติบุคคลใดหรือหลายนิติบุคคล ดังต่อไปนี้
- บริษัท หลุยส์ ตี. เลียวโนเวนส์ (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัท เกตซ์ เฮลท์แคร์(ประเทศไทย) จำกัด
- เกตซ์ เคมิคอลส์